2. กฎแห่งการฝึกหัด(Law o f Exercise)
หมายถึงการที่ผู้เรียนได้ฝึกหัดหรือกระทำซ้ำๆบ่อยๆ
ย่อมจะทำให้เกิดความสมบูรณ์ถูกต้อง
ซึ่งกฎนี้เป็นการเน้นความมั่นคงระหว่างการเชื่อมโยงและการตอบสนองที่ถูกต้อง
ย่อมนำมาซึ่งความสมบูรณ์
Jerome
S. Bruner เป็นผู้ที่มีความเห็นว่าในการจัดการเรียนการสอนนั้น
ครูสามารถช่วยจัดประสบการณ์เพื่อช่วยให้เด็กเกิดความพร้อมได้
โดยไม่ต้องรอให้เด็กพร้อมตามธรรมชาติ
ซึ่งเป็นการเสียเวลานั้นหมายความว่าตามความคิดเห็นของบรูเนอร์แล้ว
ความพร้อมเป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดเร็วขึ้นได้
1.หลักการสำคัญ
บรูเนอร์ได้เสนอว่าในการจัดการศึกษานั้น
ควรที่จะได้คำนึงถึงทฤษฏีพัฒนาการว่าเป็นตัวเชื่อมระหว่าง ทฤษฏีความรู้
และทฤษฏีการสอน ( A theory of development must be link both to a theory
of instruction) ซึ่งหมายความว่า ทฤษฏีพัฒนาการจะเป็นตัวกำหนดเนื้อหา
(knowledge) และวิธีการสอน
(instruction)ในการที่จะนำเนื้อหาใดมาสอนเด็กนั้นควรพิจารณาดูว่าในขณะนั้น
เด็กมีพัฒนาการอยู่ในระดับใด มีความสามารถเพียงใด
เราก็ปรับเนื้อหาให้สอดคล้องกับความสามรถของเด็กที่จะเรียนหรือที่จะรับรู้
ได้ โดยใช้วิธีการให้เหมาะสมกับเด็กในวัยนั้น
ดังนั้นเราก็สามรถสอนให้เด็กเกิดความพร้อมได้โดยไม่ต้องรอ
ดังที่บรูเนอร์ได้กล่าวว่า “เราจะสามารถสอนวิชาใดๆก็ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยใช้วิธีการที่เหมาะสมให้กับเด็กคนใดคนหนึ่งในระดับอายุใดก็ได้...” any
subject can be taught effectively in some intellectually honest formto
any child at any stage of development (1960)
ซึ่งความพร้อมในที่นี้ของบรูเนอร์หมายถึงความสามารถที่เด็กจะเรียนทักษะ
อย่างง่ายๆได้ก่อนซึ่งทักษะนี้เป็นพื้นฐานของทักษะที่ยากต่อไป
ซึ่งบรูเนอร์ได้กล่าวไว้ว่า...one teaches readiness or provides
opportunities for its nurture; one does not simply wait for it.
Readiness, in these terms, consists of mastery of those simple skills
that permit one to reach higher skills’
บรูเนอร์มองเห็นว่าในการจัดการศึกษานั้น
ควรที่จะทำให้เนื้อหาวิชามีความต่อเนื่องกัน
ถ้าเราทราบว่าเนื้อหาวิชาใดเป็นสิ่งจำเป็นที่เด็กจะต้องเรียน
หรือจะต้องใช้เมื่อตอนโต
ก็ให้รีบนำเนื้อหาวิชานั้นมาสอนให้เด็กตั้งแต่ที่เขายังเล็กๆ
โดยที่ปรับเนื้อหาวิชานั้นให้เหมาะกับความสามารถในการคิด
หรือการรับรู้ของเด็ก หรือใช้ภาษาที่เด็กจะเข้าใจได้ ดังนั้น
เราก็สามารถนำเนื้อหาวิชาใดๆมาสอนกับเด็กในระดับอายุเท่าใดก็ได้
ถ้ารู้จักใช้วิธีการที่เหมาะสม
ซึ่งจากความคิดนี้ได้เสนอว่าในการจัดการเรียนการสอนควรมีลักษณะเป็น “spiral
curriculum” คือ การจัดเอาวิชาให้มีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ
และมีความลึกซึ่งซับซ้อนและกว้างขวางออกไปตามประสบการณ์ของผู้เรียน
เรื่องเดียวกันอาจเรียนตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงมหาวิทยาลัย
ไม่ว่าจะเป็นคณิตศาสตร์หรือฟิสิกส์ก็เรียนได้ทั้งสิ้น เช่น เรื่องเกี่ยวกับ
“เซ็ท” เด็กประถมก็เรียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ในลักษณะที่เป็นรูปธรรม
นิสิตในมหาวิทยาลัยก็เรียนเรื่องนี้
แต่ในลักษณะที่เป็นนามธรรมที่ลึกซึ้งเหมาะสมกับระดับของผู้เรียน
สำหรับวิชาฟิกสิกส์ บรูเนอร์ได้ยกตัวอย่างเกี่ยวกับ “ Snell’s law”
ซึ่งเป็นกฎว่าด้วยเรื่อง “แรงกดของแสง”
ซึ่งเขาได้ยกตัวอย่างเกี่ยวกับการถ่ายรูปว่า
การทีถ่ายรูปติดนั้นเป็นเพราะแรงกดจากแสง
หรือว่าไม่เกี่ยวข้องกับแรงกดจากแสงเลย
บรูเนอร์กล่าวว่าเรื่องที่ยุ่งยากซับซ้อนอย่างนี้สามารถอธิบายให้เด็กอายุ 7
ขวบ เข้าใจได้
และเขาได้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยใช้ลูกบอลสองลูกเพื่อที่จะอธิบายว่า
ถ้าวัตถุที่เคลื่อนที่ไปกระทบวัตถุที่นิ่ง
มั่นจะผ่านไปด้วยแรงซึ่งเนื่องมาจากอัตราเร็วที่ไปกระทบวัตถุนั้นๆนอกจาก
นั้นบรูเนอร์กล่าวว่าการที่เขากล้ายืนยันว่าเด็กเล็กๆ
ก็สามารถเรียนเกี่ยวกับกฎของ Snell law wfhoyho เพราะเขาเคยพบในวัยเด็ก
preoperation ซึ่งมีคำถามเกี่ยวกับการสร้าง “กังหันรมแสง”
เพื่อวัดแรงกดจากแสงว่า กังหันนั้นควรจะเป็น “กังหันร้อน” หรือ
“กังหันเย็น” ในเมื่อแสงจากดาวนั้นเย็น ( Hall, 1970)